สถิติการเยี่ยมชม

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

เกาะสีชัง

ข้อมูลเกาะสีชังในหน้านี้เป็นข้อมูลในปี 2552 หากต้องการอ่านรีวิวเกาะสีชัง 2554 คลิก –> รีวิวเกาะสีชัง 2554

ในเดือนพฤษภาคมเป็นอีกหนึ่งเดือนที่มีวันหยุดอยู่หลายวัน หยุดหลายวันแบบนี้จะให้อยู่บ้านเฉยๆก็คงเซ็งไม่น้อย ผมเองก็เช่นกัน ต้องออกไปเที่ยวซักหน่อย ออกไปเที่ยว ออกไปช่วยชาติครับ นั่งนึกอยู่ว่าจะไปที่ไหนดีที่ใกล้กรุงเทพฯ ไปเช้าเย็นกลับได้ แว๊บหนึ่งในใจก็เป็น เกาะสีชัง ชลบุรี เมื่อคิดได้แล้วก็ชวนแม่กับน้องไปเที่ยวกัน ก็ตกลงโดยดีด้วยความที่ไม่มีใครเคยไปเกาะสีชังมาก่อนเลยอยากไปกัน
เราออกจากบ้านกันแต่เช้าตั้งแต่ตี 5 เลยละครับ เพื่อที่จะได้ไปทันเรือรอบแรกตอน 7.00 น ใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์(ทางหลวงหมายเลข 7) สำหรับค่าผ่านทางก็ 30 บาท 2 ด่าน (30+30) เตรียมเงินไว้ให้พร้อมจะได้ไม่เสียเวลา ออกจากมอเตอร์เวย์ตรงที่ป้ายชี้ว่าบางแสน แล้วเข้าถนนสุขุมวิทมุ่งหน้าไปทางพัทยา จะเห็นป้ายเลี้ยวขวาไปเกาะลอย ให้เลี้ยวเข้าไปเลยครับ เราไปถึงก่อน 7.00 น เล็กน้อย มีที่จอดรถเยอะแยะเลย คงยังไม่ค่อยมีใครมากัน ยังเช้าอยู่ จากนั้นก็เดินไปขึ้นเรือตรงท่าเรือที่ยื่นออกไป อยู่ตรงอาคารหลังคาสีแดงนี้แหล่ะครับ

ค่าเรือข้ามไปเกาะสีชังคนละ 35 บาท เรือออกทุกชั่วโมงตั้งแต่ 7.00-18.00 น. เรือข้ามไปเกาะสีชังจะเป็นเรือ 2 ชั้น แนะนำว่าให้เลือกนั่งชั้นที่ 2 จะสบายกว่าเห็นวิวสวยๆ ได้รับลมด้วย ส่วนผมได้นั่งชั้นล่างครับ เนื่องจากไปช้าที่นั่งเต็ม ชั้นล่างจะค่อนข้างร้อน ซ้ำร้ายไปกว่านั้นที่นั่งตรงหัวเรือต้องปิดหน้าต่างไว้กันน้ำกระเด็นเข้ามา เรือเที่ยวแรกนั้นจะเต็มไปด้วยผัก อาหารสดที่ซื้อจากฝั่งศรีราชาขนไปยังเกาะสีชัง ฉะนั้นไม่ต้องแปลกในว่าของบนเกาะจึงแพงกว่าบนฝั่ง ถ้าไปกันหลายคนก็ซื้ออาหารทะเลสดไปปิ้งกินที่เกาะก็จะได้ราคาที่ถูกกว่าซื้อบนเกาะ

สำหรับตั๋วโดยสารที่ได้มาเก็บไว้ก่อนนะครับเวลาเรือออกเค้าจะมาเก็บตั๋ว ที่ตั๋วจะบอกตารางเรือเฉพาะของตัวเอง จริงๆแล้วมีเรือ 4 บริษัทสลับกันเดินเรือทุกชั่วโมง ลักษณะที่นั่งด้านล่างจะเป็นเก้าอี้พลาสติกซ้าย 3 ที่นั่ง ขวา 3 ที่นั่งที่เก้าอี้จะมีเสื้อชูชีพไว้ให้อยู่ ใครจะใส่ชูชีพเลยก็ได้ ปลอดภัยไว้ก่อน แต่ก็สังเกตุว่าเก้าอี้บางตัวทำไมไม่มีชูชีพ ถ้าผู้เกี่ยวข้องผ่านมาอ่านช่วยตรวจสอบให้หน่อยนะครับ อยากให้มีชูชีพทุกที่นั่งเพื่อความปลอดภัย เวลาเกิดอะไรขึ้นมาจะได้ไม่มาล้อมคอกทีหลัง
นั่งได้สักพักเรือก็บีบแตรปี๊นๆ เป็นการส่งสัญญาณว่าเรือจะออกแล้วนะ และแล้วเราก็ออกจากฝั่ง เรือข้ามไปเกาะสีชังขับเร็วกว่าเรือข้ามไปเกาะล้านอีก นั่งแล้วไม่เมาเรือด้วย ตอนนี้เรามาอยู่กลางทะเลจะเห็นเรือเดินสมุทรลำใหญ่ๆเต็มไปหมดเลยมาทอดสมอที่กลางทะเล เสียดายที่ผมนั่งตรงกลางเลยไม่มีโอกาสถ่ายรูปมาให้ได้ชมกัน
เกาะสีชังจะมีท่าเรืออยู่ 2 ท่าด้วยกันคือ ท่าล่าง(ท่าเทวงษ์) และ ท่าบน(ท่าภาณุรังษี) ประมาณ 45 นาทีเราก็มาถึงท่าล่าง จริงๆแล้วเรือจะจอดท่าล่างก่อนแล้วไปที่ท่าบน ไหนๆเราก็จะไปเที่ยวรอบเกาะอยู่แล้วขอลงท่าล่างเลยดีกว่า รู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ในเรือ

เมื่อขึ้นมาอยู่บนเกาะแล้วจะมีมอเตอไซค์ สกายแลป รถนำเที่ยว มาหาเราเลย อาจจะดูงงๆซะหน่อย ไม่รู้จะเลือกอะไรดี เดี๋ยวผมเอาราคามาให้ดูก่อน
  • มอเตอร์ไซค์ 1ชั่วโมง 80 บาท, เหมาทั้งวัน 250 บาท, ค้างคืน 300 บาท
  • รถสองแถว เที่ยวรอบเกาะไม่จำกัดเวลา 500 บาท นั่งได้ไม่เกิน 15 คน
  • สกายแลป เที่ยวรอบเกาะไม่จำกัดเวลา 250 บาท นั่งได้ไม่เกิน 6 คน จ่ายค่าโดยสารตอนขากลับที่ท่าเรือ


ผมเลือกใช้บริการสกายแลป สกายแลปจะเป็นไกด์ให้เราด้วยนะครับ สกายแลปรูปร่างด้านหน้าเหมือนกับมอเตอร์ไซค์แต่เครื่องยนต์เป็นเครื่องยนต์รถยนต์เล็กๆ ฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีแรงพอขึ้นเราลงเขา มีที่นั่ง 2 ฝั่งหันหน้าเข้าหากันมีหลังคา

จุดแรกที่พี่สกายแลปพาเราไปนั้นเป็นศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่จะอยู่ด้านเหนือของเกาะถัดจากท่าเรือเทววงศ์ขึ้นไป ข้างๆศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่นั้นจะเป็นศาลเจ้าแม่กวนอิม ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่นั้นอยู่ในถ้ำด้านบนจะต้องขึ้นบันไดไป 150 กว่าขั้น อยู่บนยอดเขาคยาศิระ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวเกาะสีชัง บันไดสูงๆแบบนี้อาจจะไม่เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องเข่าเท่าไหร่นัก เมื่อขึ้นไปได้นิดนึงจะมีสถานสงเคราะห์คนชราเชิญชวนให้เราบริจาคปัจจัย เราเดินกันมาได้เหงื่อซึมๆก็มาถึงข้างบนสังเกตุว่าสถาปัตยกรรมจะเป็นแบบจีนผสมกับไทยบ้าง ด้านบนจะมองเห็นท่าเรือและบ้านเรือนชาวเกาะสีชังได้อย่างชัดเจน
ก่อนที่จะถึงตัวศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่จะมีทางขึ้นอีกทางแยกไปศาลรัชกาลที่ 5 และศาลกรมหลวงชุมพร พอเข้าไปก็จะมีพระสังขจายน์ ศาลเจ้าแม่กวนอิม เจ้าพ่อเห้งเจีย วกกลับไปต่อที่ทางศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ครับ


มองจากมุมนี้จะเห็นเรือเดินสมุทรมากมายทอดสมอลอยอยู่กลางน้ำหลายสิบลำ หันกลับมาดูข้างในศาลกันต่อ

ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่จะอยู่ในถ้ำครับ เป็นถ้ำเล็กๆทาสีทองภายในถ้ำ จากตรงนี้เดินไปอีกนิดเดียว ในช่วงตรุษจีนคนจีนจะมากันเยอะมาก โดยมีความเชื่อว่าใครมาไหว้ติดต่อกัน 3 ครั้ง ภายใน 3 ปีจะเจริญ ร่ำรวย

หลังจากนั้นก็ออกมาชมข้างนอกกันต่อ
อันที่จริงแล้วบนยอดเข้าเดียวกับศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่นี้ยังมี มณฑปรอยพระพุทธบาท ที่รัชกาลที่ 5 ทรงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ จำลองจากรอยพระพุทธบาทที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อปี พ.ศ.500 บนยอดเขาเป็นจุดชมทิวทัศน์ทะเลได้โดยรอบ แต่ผมไม่ได้ขึ้นไปชมครับ

ลงมาจะมองหาพี่สกาปแลป พี่หายไปไหนแล้ว อ้อ..มาแอบซื้อหมูปิ้งอยู่นี่เอง

จากประวัติที่อ่านมา เกาะสีชัง เป็นเกาะที่มีอากาศดี คนบนเกาะจะมีอายุยืน จากจดหมายเหตุตามเสด็จประพาสจันทบุรีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงพระเยาว์ได้เสร็จตาม ร.4 ประพาสมาที่เกาะสีชัง และทรงแจกทานแก่ผู้สูงอายุบนเกาะที่มีอายุเกิน 100 ปี ถึง 3 คน ในสมัยนั้นเกาะสีชังจึงเป็นสถานพักฟื้นที่นิยมของชาวไทยและชาวต่างชาติ
ในสมัย ร.5 พระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ ทรงมีพระอาการประชวร แพทย์หลวงได้ถวายคำแนะนำให้พักรักษาตัวที่เกาะสีชัง ร.5 ทรงมีความห่วงใยก็เสด็จไปทรงอภิบาลพระราชโอรสเป็นการประจำเช่นกัน ท่านได้พระราชทานความเจิญให้กับเกาะสีชังด้วยการก่อสร้างสิ่งต่าง (เป็นที่มาของสิ่งก่อสร้างบนเกาะสีชังว่ามักจะมีคำว่า “อัษฎางค์”)
ในปี พ.ศ.2431 จึงได้สร้างตึกสามหลังขึ้นจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ สำหรับเป็นที่พักฟื้นผู้ป่วยได้แก้ตึกวัฒนา ตึกผ่องศรี และตึกอภิรมย์ และในปีในปี พ.ศ.2435 ได้โปรดเกล้าให้สร้างพระราชฐานขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับเพื่อแปรพระราชฐานใน ฤดูร้อน พระราชทานนามว่า “จุฑาธุชราชฐาน” ตามพระนามของพระเจ้าลูกยาเธอที่ประสูติที่เกาะสีชัง เมื่อ 5 กรกฎาคม 2435 เมื่อสร้างพระราชฐานแล้วก็โปรดให้สร้าง ถนน ท่าเรือ บ่อน้ำจืด โรงเรียน สวนสาธารณะ และ ที่ทำการไปรษณีย์
ต่อมาใน ร.ศ.112 ฝรั่งเศสมารุกรานในขณะที่ยังก่อสร้างพระราชฐานยังไม่เสร็จ จึงไม่ได้เสด็จไปประทับแรมที่เกาะสีชังอีกและต่อมาโปรดให้รื้อพระที่นั่ง “มันธาตุรัตนโรจน์” ซึ่งเป็นพระที่นั่งองค์ใหญ่ มาสร้างใหม่ที่พระราชวังดุสิต ปัจจุบันคือ พระที่นั่งวิมานเมฆ (พระที่นั่งไม้สักทองทั้งหลัง)
สถานที่ต่อไปที่จะพาไปชมคือ ช่องอิศริยาภรณ์ หรือ ช่องเขาขาด ในแต่ละจุดห่างกันไม่มากครับ เพียง 5-10 นาที ระหว่างทางไปดูวิวบ้านเรือน 2 ข้างทางไปก็เพลินดีเหมือนกัน บ้านเรือนที่นี่น่าอยู่ดี สองข้างทางจะปลูกต้นลั่นทม(ลีลาวดี)ทั้งเกาะเลย ต้นลั่นทมที่เกาะออกดอกกันแทบทุกต้น

ถนนที่เกาะสีชังเป็นคอนกรีต มีเพียง 2 เลน เนื่องจากยานพาหนะส่วนมากเป็นมอเตอร์ไซค์เลยไม่ต้องทำถนนใหญ่มาก อากาศก็ค่อนข้างดี ไม่มีมลพิษจากรถยนต์และโรงงาน ถ้าจะเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่ชมรอบเกาะก็ขับได้สบายครับส่วนมากเป็นทางราบไม่ค่อยมีขึ้นเขาลงเขาเท่าไหร่ แปปเดียวเราก็มาถึง ช่องเขาขาด และ หาดหินกลม

ช่องเขาขาดนั้นจะอยู่ทางด้านหลังของเกาะ ถ้านั่งเรือผ่านจะเห็นเป็นช่องเขา ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งพลับพลาที่ประทับชมทิวทัศน์ของรัชกาลที่ 5 ด้านล่างของช่องเขาขาดจะเป็นหาดหินกลม เหตุที่มีชื่อนี้เพราะเต็มไปด้วยหินกลมๆมากมาย หาดนี้ไม่สามารถเล่นน้ำได้นะครับ เราสามารถเดินชมวิวได้จะมี สะพานวชิราวุธ ข้ามไปยังด้านริมของเกาะ
สะพานวชิราวุธ สีขาวที่เห็นในรูปด้านล่างนั้นเป็นหนึ่งในสะพานที่มีการวิพากวิจารณ์ว่าบดบังทัศนียภาพ บ้างก็ว่าทำมาไว้ให้นักท่องเที่ยวดูพระอาทิตย์ตกดินได้สะดวก ก็ต่างคน ต่างความคิดครับ

ตรง แหลมวชิราวุธ ที่ยื่นไปนั้นบางคนก็ไปเปรียบเทียบกับแหลมพรหมเทพ จ.ภูเก็ต ว่ามีความสวยงามไม่แพ้กัน บริเวณแหลมนี้สามารถตกปลาได้ และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามของเกาะสีชัง เราเดินข้ามสะพานวชิราวุธไปยังอีกฝั่ง

มองจากมุมนี้เห็นคนมาตกปลาหลายคนเหมือนกัน ใครที่อยากค้างคืนดูพระอาทิตย์ตกดินบริเวณช่องเขาขาดก็มี สีชังวิวรีสอร์ท และเกาะสีชังรีสอร์ท ส่วนคนไปเช้า-เย็นกลับหมดสิทธิ์ดูพระอาทิตย์ตกดินครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราขึ้นสกายแลปไปเที่ยวกันต่อ
สถานที่ต่อไปที่เราจะไปกันก็จะเป็น พระจุฑาธุชราชฐาน ซึ่งเป็นพระราชวังที่ประทับในฤดูร้อนของรัชการที่ 5 มีสถานที่สำคัญอยู่ในนี้หลายแห่งด้วยกัน สกายแลปมาส่งเราที่ด้านหน้าทางเข้าพร้อมกับยื่นนามบัตรให้โทรเรียกเมื่อชมเสร็จแล้ว ระหว่างนี้สกายแลปก็จะไปรับ-ส่งผู้โดยสารต่อ บริเวณทางเข้าจะมีไกด์รุ่นเยาว์อาสาพาชมในพระราชวัง ใครสนใจก็เรียกใช้บริการได้ครับ เมื่อเสร็จแล้วก็ให้ค่าขนมไกด์ เป็นการสนับสนุนการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ของเยาวชน
เมื่อเดินเข้ามาด้านในจะเห็น สะพานอัษฎางค์ เรือนไม้สีขาวยื่นไปในทะเลอยู่ทางซ้ายมือ เป็นมุมมหาชนเลยทีเดียวใครมาเกาะสีชังก็ต้องมาถ่ายรูปตรงนี้

เดินเข้าไปข้างในสะพาน แม่กับน้องเดินนำกันไปก่อนแล้ว

วันนี้ค่อนข้างโชคดีท้องฟ้าใสมาก ฝนไม่ตก แต่ที่โชคร้ายคือแดดร้อนมากอยู่กลางแดดแปปเดียวเหงื่อออกเต็มไปหมด มองลงไปที่ทะเลเห็นเม่นทะเลอยู่หลายสิบตัวเลย
ในพระจุฑาธุชราชฐานจะมี หาดท่าวัง หาดนี้เล่นน้ำไม่ได้เช่นกันเพราะเต็มไปด้วยหิน แต่มีวิวที่มองเห็นทะเลได้อย่างสวยงาม จะมองเห็นเรือขนส่งสินค้าอยู่หลายลำลอยอยู่กลางทะเล

หาดท่าวัง ตรงนี้น้ำใสเหมือนกันแต่ทรายไม่ขาว

ตอนเย็นๆมานั่งเก้าอี้รับลม ชมทะเลคงมีความสุขดี

ตรงนี้เป็นฐานพระที่นั่งมันธาตุรัตน์โรจน์ ที่ถูกรื้อเพื่อนำไม้สักไปก่อสร้างเป็นพระที่นั่งวิมานเมฆที่กรุงเทพฯ
เรามาชมสถานที่สำคัญในเขตพระราชวังกันต่อ อาคารไม้สีเขียวที่เห็นนั้นมีชื่อว่า เรือนไม้ริมทะเล ด้านหน้าของเรือนไม้ริมทะเลจะอยู่ติดกับทะเลเลย สามารถมองเห็นวิวทะเลได้จากหน้าต่างด้านใน สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 5 ได้รับการบูรณะมาจนถึงปัจจุบัน ข้างในจัดนิทรรศการข้อมูลเกาะสีชัง

ถอดรองเท้าแล้วเข้ามาข้างในกันครับ

ในเรือนไม้ริมทะเลจะขายเครื่องดื่ม ของว่าง แล้วมารับประทานกันในห้องนี้

เรือนไม้ริมทะเลจะเปิดให้ชมเฉพาะชั้นล่างเท่านั้น
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไม่ปรากฎเด่นชัดว่าเรือนไม้ริมทะเลสร้างขึ้นเมื่อใด สัณนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรือนพักของชาวต่างชาติมาก่อน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงเป็นที่ประทับแรมของพระราชวงศ์ในคราวเสด็จมารักษาพระองค์ ก่อนที่จะมีการสร้างพระจุฑาธุชราชฐาน ในพ.ศ. 2435

ออกจากเรือนไม้ริมทะเลได้เพียงนิดเดียวก็จะเจอ เรือนวัฒนา เป็นเรือนสีขาวตัวอาคารทำด้วยปูน สร้างขึ้นในรัชการที่ 5 โดยพระราชทานนามตามพระนามสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี โดยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นอาไศรยสถาน เมื่อ พ.ศ. 2432 เพื่อเป็นที่พักฟื้นสำหรับชาวไทยและต่างประเทศ ต่อมาก็ใช้เป็นที่ประทับของพระราชวงศ์ก่อนที่จะมีการสร้างพระจุฑาธุชราชฐานในพ.ศ. 2435 ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการณ์เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นบนเกาะสีชัง ในสมัยรัชกาลที่ 5

ข้างในจะมีรูปปั้นไกด์บอกกับเราว่านี่เป็นรูปปั้นจริงในสมัยรัชกาลที่ 5 นำเข้าจากต่างประเทศ ปัจจุบันได้บูรณะแล้วนำมาเก็บไว้ให้ชมในเรือนวัฒนา

ด้านบนของเรือนวัฒนาให้ขึ้นชมได้แต่ชั้นบนก็ไม่มีอะไรเป็นเพียงห้องโล่งๆ
ออกจากเรือนวัฒนาจะเห็นสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ เนื่องจากว่าบนเกาะสีชังนั้นไม่มีแหล่งน้ำจืด จึงจำเป็นต้องสร้างบ่อเพื่อกักเก็บน้ำฝนไว้ใช้

สระอโนดาดด์ เดินไปอีกนิดก็เจอรูปปั้นรัชกาลที่ 5

ด้านหน้าจะมีกระถางธูปไว้ปักสำหรับคนที่มากราบ ไหว้ ร.5
ภายในพระจุฑาธุชราชฐาน ค่อนข้างกว้างครับถ้าจะเดินชมให้ครบคงต้องมีเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงถึงจะเดินได้ครบแบบสบายๆ เราเดินย้อนออกไปตรงทางเข้าจะไปชม พิพิธภัณฑ์สัตวน้ำชลทัศนสถาน กันต่อ

ระหว่างทางเดินก็เจอกันดอกลั่นทมออกดอกสวยงาม อดใจไม่ไหวต้องไปถ่ายรูปมาเก็บไว้ และแล้วเราก็มาถึง พิพิธภัณฑ์สัตวน้ำชลทัศนสถาน โดยความดูแลของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดประตูเข้าไปข้างในแอร์เย็นฉ่ำมาก ไกด์รุ่นประถมก็พาเราไปดูข้างใน พาเราไปดูในบ่อเล็กๆมีปลาดาว ปู หอยและเม่นทะเลอยู่ในนั้น แล้วก็หยิบมาอธิบาย

ผมเองก็จำไม่ค่อยได้ว่าน้องเค้าบรรยายว่าไงบ้างมัวแต่อึ้งอยู่รีบคว้ากล้องมาถ่ายแทบไม่ทัน

ซ้าย. ปลาดาวหยิบมาให้ลองจับกัน ขวา. ปลิงทะเลกำลังพ่นน้ำออกมา
หลังจากนั้นเราก็ไปชมด้านบนกันต่อ ชั้นบนจะเป็นพวกปะการังที่ตายแล้วและเปลือกหอยชนิดต่างๆ

ภายใน พิพิธภัณฑ์สัตวน้ำชลทัศนสถาน ไม่ใหญ่ครับเดินแปปเดียวก็หมด
หลังจากนั้นเราก็โทรตามพี่สกายแลปมารับเรา ระหว่างรออยู่นั้นก็เจอพี่สกายแลปอีกคันถามว่าเรารอรถอยู่หรือเปล่าไปกับเค้าไหม เราก็บอกไปว่ารอสกายแลปมารับ พี่เค้าก็เล่าให้เราฟังเรื่องราวในเกาะสีชังว่า
เกาะสีชังมีพื้นที่ 17.3 ตารางกิโลเมตร ห่างจากฝั่ง 12 กิโลเมตร มีประชากรประมาณ 6,000 คน จะรู้จักกันหมดว่าใครเป็นใคร ไม่มีผู้ร้าย ไม่มีขโมย ส่วนมากประกอบอาชีพประมง มีโรงเรียน โรงพยาบาล มีหมอ 2 คน ทีดินมีโฉนดตารางวาละ 5,000 บาท ไม่มีโฉนดตารางวาละ 3,000 บาท บนเกาะไม่มีแหล่งน้ำจืด แต่ก่อนชาวบ้านต้องรองน้ำฝนใช้กันตลอดปี ทุกบ้านจะมีที่เก็บน้ำอยู่ใต้พื้นดิน ปัจจุบันมีโรงทำน้ำประปาจากน้ำทะเลหน่วยละ 70 บาท มีโรงไฟฟ้าอยู่ 1 โรงใช้น้ำมันปั่นกระแสไฟฟ้าค่าไฟที่นี่จะแพงในปีหน้าจะลากเคเบิลไฟฟ้าจากศรีราชาลงใต้ทะเลมา ฯลฯ
พี่เค้าพูดคล่องมาก ผมรู้สึกประทับใจคนบนเกาะสีชังแล้วซิ รู้สึกว่าคนที่นี่มีมิตรไมตรีดี เลยขอบคุณที่มาเล่าให้เราฟัง
ไม่นานสกายแลปก็มารับเราพาเราไปยังสถานที่สุดท้ายคือ หาดถ้ำพัง (หาดถ้ำเขาพัง)หรือ อ่าวอัษฎางค์ ทางลงหาดถ้ำพังจะเป็นโค้งหักศอกแล้วลงมา ชันพอสมควร ประมาณ 400 เมตร ทันทีทีสกายแลปเลี้ยวเข้ามาผมมองดูแล้วบรรยากาศและวิวคล้ายหาดทรายแก้ว สัตหีบเลย ผมนัดกับพี่สกายแลปไว้ว่าให้มารับที่นี่ตอนเที่ยง เพราะกะว่าจะไปทานข้าวเที่ยงที่ฝั่งศรีราชา

เตียงผ้าใบที่นี่คิดราคาตัวละ 20 บาท นั่งได้ทั้งวัน คิดเป็นจำนวนตัวที่นั่งเช่นถ้าไปกัน 3 คน แต่มี 4 ที่นั่งก็จะคิดเพียง 60 บาท ผมเคยไปนั่งที่บางแสนไปกัน 2 คน มีแต่ที่นั่ง 6 ที่ก็ต้องจ่าย 120 บาท ผมบอกกับแม่ค้าว่าเรามากัน 3 คนนั่งชั่วโมงครึ่งก็กลับ ราคาเท่าไหร่ แม่ค้าบอกนั่งเลยๆ ไม่คิด คนที่นี่มีน้ำใจจังเลยสั่งอาหารมากินซักหน่อย ทั้งๆที่ก็ไม่ได้หิวเท่าไหร่หรอก สั่งยำรวมมิตรไปจานละ 100 บาท รสชาติอร่อยทีเดียว ปลาหมึกกับกุ้งให้มาเยอะเลย

สังเกตุดูคนที่มาเที่ยวไม่ค่อยกินเหล้ากินเบียร์ส่งเสียงดังกันเท่าไหร่ ที่นี่น่าจะเหมาะกับคนชอบความสงบ หลังจากอิ่มแล้วลงทะเลกันต่อดีกว่า
หาดถ้ำพัง เป็นหาดเล็กๆ และเป็นหาดเดียวในเกาะสีชังที่เล่นน้ำได้ หาดที่นี่ทรายขาวและน้ำใสมาก ดูแล้วใสพอๆกับเกาะล้านเลย

นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมาเล่นน้ำเท่าไหร่นัก ผมคิดว่าคนที่ชอบเล่นน้ำคงจะไปเกาะล้านมากกว่ามั้งเพราะที่เกาะล้านมีหลายหาด


สำหรับเครื่องเล่นก็มีให้บริการโดยสีชังฮาลิเดย์ บานาน่าโบ๊ทชั่วโมงละ 1,200 บาท ครึ่งชั่วโมง 600 บาท พายเรือคายัค 1 ชั่วโมง 150 บาท ราคาดูเหมือนจะแพงกว่าพัทยาหน่อย

ดูเค้าเล่นบานาน่าโบ๊ทท่าทางน่าสนุก

น้ำทะเลใสๆ ทรายขาวๆ

หลังจากเล่นน้ำได้ไม่นานก็ใกล้ถึงเวลาที่นัดกับพี่สกายแลปไว้ เราเลยต้องไปอาบน้ำจืด ราคาอาบน้ำจืด 20 บาท สุขา 5 บาท ก็เข้าใจครับว่าน้ำจืดมีจำกัด เมื่อถึงเที่ยงพี่สกายแลปก็มารับเราไปส่งยังท่าเรือ ท่าบน(ท่าภาณุรังษี) ค่ารถสกายแลปจะจ่ายตอนกลับครับอาศัยว่าไว้ใจกันราคา 250 บาท ขึ้นเรือปุ๊ปเรืออกทันทีเลยเป็นโชคดีที่ไม่ต้องรอ เป็นโชคร้ายที่ได้นั่งหัวเรือชั้นล่าง ไม่มีชูชีพที่เก้าอี้ แถมยังร้อนเพราะปิดกระจกกันน้ำสาด หลังจากนั้น 45 นาทีเราก็มาถึงเกาะลอยกันครับ สำหรับทริปนี้ผมชอบมาก ชอบอัธยาศัย น้ำใจของคนบนเกาะ ชอบความสงบ ชอบความเป็นชุมชน คิดไว้แล้วว่าคราวหน้าต้องมาค้างบนเกาะสีชังให้ได้

สรุป. เกาะสีชังเหมาะสำหรับคนที่ชอบความเงียบสงบ ไม่ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก ไม่มีแสงสีเสียงในตอนกลางคืน ชอบธรรมชาติ ราคาที่พักบนเกาะก็ไม่แพงไม่เกินพันก็หาได้ ค่าครองชีพบนเกาะก็แพงกว่าบนฝั่งนิดหน่อยเช่นน้ำอัดลมปกติ 14 บาทบนเกาะขาย 17 บาท สามารถมาเที่ยวได้ทั้งเช้าไป-เย็นกลับและค้างคืนก็ได้ ถ้าค้างคืนบนเกาะแนะนำให้่ดูพระอาทิตย์ตกดินที่ช่องเขาขาด
การเดินทางโดยรถยนต์ จากกรุงเทพฯสามารถใช้ได้ 2 เส้นทางคือ ถนนสุขุมวิท และ มอเตอร์เวย์(ทางหลวงหมายเลข 7) มุ่งหน้ามาทางบางแสน เมื่อถึงบางแสนใช้ถนนสุขุมวิทขับตรงไปทางพัทยา จากบางแสนประมาณ 10 นาทีจะเห็นป้ายทางขวามือเลี้ยวเข้าเกาะลอย สามารถจอดรถได้ที่เกาะลอย จอดฟรี ถ้ามาแต่เช้าจะมีที่จอดรถว่างเยอะมาก ถ้าหาที่จอดรถไม่ได้หรือต้องการจอดรถข้ามคืนให้ถามสามล้อหรือมอเตอร์ไซต์แถวนั้นให้พาไปที่ฝากรถแล้วนั่งสามล้อหรือมอเตอร์ไซต์กลับมา ค่าจอดรถค้างคืนประมาณ 150 บาท
การเดินทางโดยรถประจำทาง ขึ้นรถได้ที่สถานีขนส่งหมอชิต (รถออกทุก 45 นาที) หรือที่สถานีขนส่งเอกมัย (รถออกทุก 20 นาที) ราคา 94 บาท ไปลงตรงข้ามโรบันสันศรีราชา ต่อสามล้ออีก 40 บาทไปท่าเรือเกาะลอย หรือนั่งรถเมล์ไปท่าเรือเกาะลอย 7 บาท
เรือโดยสารไปเกาะสีชัง
  • จากเกาะลอยศรีราชาไปเกาะสีชัง รอบแรก 7.00 น. ถึง 20.00 น. เรือจะออกทุกชั่วโมง มี 4 บริษัทให้บริการ จะบริการสลับกัน ส่วนมากเรือที่ให้บริการจะเป็นเรือร้อน 2 ชั้นค่าโดยสาร 35 บาท และเรือปรับอากาศ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที
  • จากเกาะสีชังไปเกาะลอย รอบแรก 6.00 น. ถึง 18.00 น. เรือออกทุกชั่วโมง

แนะนำว่าให้นั่งชั้นบนของเรือจะสบายกว่า ไม่ร้อน ไม่อบอ้าว มองเห็นวิวได้
ข้อมูลอื่นๆ. โทรศัพท์มือถือบนเกาะสีชังใช้ได้ทุกระบบ แต่ที่หาดถ้ำพัง TRUE ไม่มีสัญญาณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น